ความสำคัญของการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ในประเทศไทย
การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม หรือ EIA (Environmental Impact Assessment) เป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมของประเทศไทย มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยให้การพัฒนาประเทศเดินหน้าไปพร้อมกับการรักษาสมดุลของธรรมชาติและคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน การที่ EIA ถูกวางให้เป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อม และเป็นกลไกที่ช่วยให้การพัฒนาประเทศให้ดำเนินไปพร้อมกับการรักษาสมดุลของธรรมชาติ ชี้ให้เห็นว่า EIA เป็นมากกว่าแค่กระบวนการทางเอกสาร แต่เป็นกลไกเชิงนโยบายที่มีบทบาทต่อการพัฒนาประเทศโดยรวมถึงการทำความเข้าใจในมิติที่กว้างขึ้นนี้จะช่วยให้ผู้อ่านเห็นภาพใหญ่และความสำคัญในวงกว้าง ทำให้ตระหนักว่า EIA เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันและการพัฒนาประเทศโดยรวม ไม่ใช่แค่เรื่องของนักวิชาการหรือผู้ประกอบการเท่านั้น

EIA คืออะไร?
ความหมายและที่มาของ EIA
EIA ย่อมาจาก Environmental Impact Assessment หรือ “การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม” อธิบายง่ายๆ คือ การศึกษาและคาดการณ์ว่าโครงการพัฒนาต่างๆ เช่น การสร้างคอนโด โรงงาน หรือถนน จะส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและผู้คนรอบข้างอย่างไรบ้าง ทั้งผลดีและผลเสีย การประเมินนี้ไม่ได้มองแค่เรื่องมลพิษ แต่ยังรวมถึงผลกระทบต่อสุขภาพ ระบบนิเวศ และการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นกับธรรมชาติ ซึ่งบางครั้งอาจนำไปสู่ผลกระทบที่รุนแรงได้ การระบุรายละเอียดโครงการ เช่น การก่อสร้าง การดำเนินการ การหยุดดำเนินการ รวมถึงสิ่งป้อนเข้าและผลปล่อยออก เช่น ขยะ ของเสีย เป็นสิ่งจำเป็นในการประเมิน
แนวคิด EIA เริ่มต้นที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในปี พ.ศ. 2512 (ค.ศ. 1969) ด้วยกฎหมายที่ชื่อว่า “The National Policy Act of 1969 หรือ NEPA” เพื่อป้องกันความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมและส่งเสริมความเข้าใจเกี่ยวกับระบบนิเวศ ก่อนที่จะแพร่หลายไปทั่วโลก รวมถึงประเทศไทย ในประเทศไทยเริ่มใช้เป็นเครื่องมือทางกฎหมายตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 การที่ EIA มีต้นกำเนิดจากกฎหมายในสหรัฐอเมริกาและแพร่หลายไปทั่วโลก แสดงให้เห็นว่าปัญหาผลกระทบสิ่งแวดล้อมจากการพัฒนาเป็นประเด็นระดับโลกที่ต้องมีเครื่องมือกลางในการจัดการ และประเทศไทยได้นำแนวทางปฏิบัติสากลมาปรับใช้เพื่อยกระดับมาตรฐานการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม การพิจารณาสิ่งป้อนเข้าและผลปล่อยออกของโครงการเป็นการบ่งชี้ถึงการวิเคราะห์เชิงลึกที่เชื่อมโยงกิจกรรมโครงการกับผลกระทบโดยตรง
ความสำคัญและประโยชน์ของ EIA ต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน
EIA มีความสำคัญอย่างยิ่งและให้ประโยชน์หลายประการต่อสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตของชุมชน:
- เพื่อการป้องกันปัญหาล่วงหน้า: EIA ช่วยให้สามารถวางแผนป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นตั้งแต่ขั้นตอนการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาที่อาจเกิดขึ้นหลังจากดำเนินโครงการไปแล้ว การดำเนินการนี้เป็นการลงทุนเพื่อป้องกันปัญหาในระยะยาว ซึ่งมีประสิทธิภาพมากกว่าการแก้ไขเมื่อเกิดปัญหาขึ้นแล้ว
- เพื่อการตัดสินใจที่เป็นธรรม: รายงาน EIA จะระบุมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญที่หน่วยงานรัฐใช้ประกอบการตัดสินใจว่าจะอนุมัติโครงการหรือไม่ และกำหนดเป็นเงื่อนไขในการออกใบอนุญาตต่างๆ เช่น ใบอนุญาตก่อสร้าง หากไม่ผ่าน EIA ก็จะไม่ได้รับอนุญาตก่อสร้าง นอกจากนี้ หากมีการคัดค้านผลการยื่นรายงานวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม โครงการอาจต้องหยุดดำเนินการก่อสร้างทันที กลไกนี้ทำให้มั่นใจว่าการพัฒนาโครงการจะคำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างรอบด้าน และยังเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตรวจสอบและปกป้องชุมชนของตนเอง
- เพื่อการคุ้มครองคุณภาพชีวิตและทรัพยากรธรรมชาติ: EIA วิเคราะห์ผลกระทบใน 4 ด้านหลัก :
- ทรัพยากรกายภาพ: เช่น ดิน น้ำ อากาศ เสียง ว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรบ้าง การประเมินนี้ช่วยให้ทราบถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมทางกายภาพที่อาจเกิดขึ้นและวางแผนรับมือได้อย่างเหมาะสม
- ทรัพยากรชีวภาพ: การศึกษาถึงการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ ที่มีต่อระบบนิเวศ เช่น ป่าไม้ สัตว์ป่า สัตว์น้ำ ปะการัง เพื่อรักษาความสมบูรณ์ของระบบนิเวศและความหลากหลายทางชีวภาพ
- คุณค่าการใช้ประโยชน์ของมนุษย์: การศึกษาถึงการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรทั้งทางกายภาพและชีวภาพของมนุษย์ เช่น การใช้ประโยชน์ที่ดิน การใช้น้ำดื่มน้ำใช้ การขนส่ง ไฟฟ้าและพลังงาน การควบคุมน้ำท่วม การระบายน้ำ การเกษตรกรรม การอุตสาหกรรม เหมืองแร่ และสันทนาการ การประเมินนี้ช่วยให้การใช้ทรัพยากรเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน
- คุณค่าต่อคุณภาพชีวิต: การศึกษาถึงผลกระทบที่จะเกิดต่อมนุษย์ ชุมชน ระบบเศรษฐกิจ การประกอบอาชีพ วัฒนธรรมประเพณี ความเชื่อ ค่านิยม รวมถึงทัศนียภาพ ความสวยงาม สาธารณสุข สุขภาพ อาชีวอนามัยและความปลอดภัย การวิเคราะห์ 4 ด้านหลักของ EIA แสดงให้เห็นว่า EIA ไม่ได้มุ่งเน้นแค่การควบคุมมลพิษเท่านั้น แต่ครอบคลุมถึงมิติทางสังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรมของชุมชนอย่างรอบด้าน ซึ่งเป็นประโยชน์โดยตรงต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน การที่โครงการอาจต้องหยุดดำเนินการหากมีผู้คัดค้านเป็นการเน้นย้ำถึงอำนาจของประชาชนในการปกป้องสิ่งแวดล้อมและชุมชนของตน
โครงการประเภทใดบ้างที่ต้องจัดทำ EIA ในประเทศไทย
หลักเกณฑ์และขนาดของโครงการที่ต้องทำ EIA
กฎหมายที่เกี่ยวข้องหลักคือ พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม (โดยเฉพาะฉบับที่ 2 พ.ศ. 2561) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) โดยความเห็นชอบของคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) จะประกาศกำหนดประเภทและขนาดของโครงการที่ต้องจัดทำรายงาน IEE (รายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเบื้องต้น), EIA หรือ EHIA (รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ) รายงาน EHIA เป็นการประเมินผลกระทบที่อาจมีผลกระทบรุนแรงต่อทรัพยากรธรรมชาติ คุณภาพสิ่งแวดล้อม สุขภาพ อนามัย หรือคุณภาพชีวิตของประชาชนหรือชุมชน
ประกาศเหล่านี้จะมีการทบทวนทุก 5 ปี เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์และประเภทโครงการที่เปลี่ยนแปลงไป ประกาศล่าสุดที่เกี่ยวข้องคือ ประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ฉบับที่ 7 พ.ศ. 2566 (ประกาศเมื่อ 6 มิถุนายน 2566) และประกาศที่ยกเลิกกฎหมาย 7 ฉบับเก่าเมื่อ 5 มกราคม 2567 การที่กฎหมายและประกาศมีการทบทวนและปรับปรุงอยู่เสมอ แสดงให้เห็นว่าระบบ EIA ในประเทศไทยมีความยืดหยุ่นและปรับตัวตามการเปลี่ยนแปลงของสังคมและสิ่งแวดล้อม ซึ่งหมายความว่าผู้ที่เกี่ยวข้องต้องติดตามข้อมูลข่าวสารอย่างสม่ำเสมอ นอกจากนี้ การยกเลิกกฎหมายเก่าหลายฉบับเป็นการพยายามรวมและทำให้กฎหมายมีความชัดเจนและเป็นปัจจุบันมากขึ้น
ตัวอย่างโครงการที่ต้องจัดทำ EIA
โครงการที่กฎหมายกำหนดให้ต้องจัดทำ EIA มีหลากหลายประเภท ขึ้นอยู่กับขนาดและลักษณะของโครงการ รวมถึงที่ตั้งที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน ตัวอย่างเช่น:
- กลุ่มอาคารและที่อยู่อาศัย:
- โครงการคอนโดมิเนียม: ที่มีจำนวนห้องชุดตั้งแต่ 80 ห้องขึ้นไป หรือมีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 4,000 ตารางเมตรขึ้นไป
- โครงการบ้านจัดสรร: ที่มีจำนวนที่ดินแปลงย่อยตั้งแต่ 500 แปลง หรือเนื้อที่เกินกว่า 100 ไร่
- อาคารสูงหรืออาคารขนาดใหญ่พิเศษ: ตามกฎหมายควบคุมอาคาร ที่มีความสูงตั้งแต่ 23 เมตรขึ้นไป หรือมีพื้นที่ใช้สอยรวมทุกชั้นหรือชั้นใดชั้นหนึ่งตั้งแต่ 10,000 ตารางเมตรขึ้นไป โดยเฉพาะอาคารที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ ชายทะเล ทะเลสาบสงขลา หรือชายหาด หรืออยู่ติด/อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติหรืออุทยานประวัติศาสตร์ หรืออาคารที่ใช้เพื่อกิจการค้าปลีก/ค้าส่ง หรือสำนักงาน
- โรงแรมหรือรีสอร์ท: ที่มีจำนวนห้องพักตั้งแต่ 80 ห้องขึ้นไป หรือมีพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 4,000 ตารางเมตรขึ้นไป
- โรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล: ที่มีจำนวนเตียงสำหรับผู้ป่วยค้างคืนตั้งแต่ 30 เตียงขึ้นไป หากตั้งอยู่ใกล้แม่น้ำ ชายทะเล ทะเลสาบสงขลา หรือชายหาดภายในระยะ 50 เมตร หรือตั้งแต่ 60 เตียงขึ้นไปสำหรับโครงการที่ไม่อยู่ในเงื่อนไขดังกล่าว
- กลุ่มโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรม:
- นิคมอุตสาหกรรม เขตอุตสาหกรรม หรือการจัดสรรที่ดินเพื่ออุตสาหกรรม: ทุกขนาด
- ท่าเทียบเรือ/ท่าเรือ: ที่รองรับเรือขนาดตั้งแต่ 500 ตันกรอสขึ้นไป หรือมีความยาวหน้าท่าตั้งแต่ 100 เมตรแต่ไม่ถึง 300 เมตร หรือมีพื้นที่ท่าเรือรวมตั้งแต่ 1,000 ตารางเมตรแต่ไม่ถึง 10,000 ตารางเมตร
- ท่าเทียบเรือเพื่อการท่องเที่ยวและกีฬา: ที่รองรับเรือตั้งแต่ 50 ลำขึ้นไป หรือมีพื้นที่ท่าเรือรวมตั้งแต่ 1,000 ตารางเมตรขึ้นไป
- การก่อสร้างหรือขยายสิ่งก่อสร้างบริเวณหรือในทะเล: ทุกขนาด เช่น รอดักทราย เขื่อนกันทรายและคลื่น เขื่อนกันคลื่นนอกฝั่งทะเล กำแพงติดแนวชายฝั่งทะเล
- การทำเหมืองแร่: เช่น เหมืองแร่ถ่านหิน เหมืองแร่โพแทช เหมืองแร่เกลือหิน เหมืองแร่หินปูนเพื่ออุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ เหมืองแร่โลหะทุกชนิด รวมถึงเหมืองแร่ใต้ดิน หรือเหมืองแร่ทุกชนิดที่ตั้งอยู่ในพื้นที่อ่อนไหว เช่น พื้นที่ชั้นคุณภาพลุ่มน้ำชั้น 1 หรือป่าอนุรักษ์เพิ่มเติม
รายการข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนเท่านั้น การที่ประเภทโครงการที่ต้องทำ EIA มีความหลากหลายมากนี้ แสดงให้เห็นถึงขอบเขตที่กว้างขวางของ EIA ซึ่งครอบคลุมภาคส่วนต่างๆ ที่อาจส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชน การที่กฎหมายกำหนดให้โครงการเหล่านี้ต้องผ่านการประเมินผลกระทบก่อนดำเนินการ เป็นการสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน
ระยะเวลาการจัดทำและพิจารณารายงาน EIA
ภาพรวมกระบวนการ
โดยปกติแล้ว เจ้าของโครงการก่อนจะเริ่มดำเนินงานก่อสร้าง จะต้องจัดทำเอกสารรายงานวิเคราะห์ EIA และยื่นไปยังสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ในขั้นตอนการจัดทำ EIA จะต้องมีการรับฟังความเห็นจากประชาชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวม 2 ครั้ง ครั้งแรกเป็นการให้ข้อมูลเกี่ยวกับโครงการที่จะเกิดขึ้นและผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นทั้งทางบวกและทางลบ รวมถึงขอบเขตของการศึกษา และครั้งที่สองเพื่อสร้างความมั่นใจในรายงานและมาตรการป้องกันและแก้ไขผลกระทบ ผู้จัดทำรายงานจะต้องเป็นนิติบุคคลที่ได้รับอนุญาตจาก สผ.
ระยะเวลาโดยประมาณ
ระยะเวลาในการจัดทำและพิจารณารายงาน EIA สามารถแบ่งออกได้ดังนี้:
- การจัดทำรายงาน: โดยทั่วไปจะใช้ระยะเวลาประมาณ 6-12 เดือน
- การพิจารณาโดย สผ. และคณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.):
- รอบที่ 1:
- เจ้าหน้าที่ สผ. ตรวจสอบความถูกต้องและครบถ้วนของเอกสาร: 15 วัน หากไม่ถูกต้องหรือเอกสารไม่ครบถ้วน จะแจ้งให้ผู้ยื่นคำขออนุญาตทราบภายใน 15 วัน นับแต่วันที่ได้รับรายงาน
- เจ้าหน้าที่ สผ. พิจารณาเสนอความเห็นเบื้องต้น: 15 วัน
- คณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.) พิจารณารายงาน: 45 วัน
- รวมระยะเวลาพิจารณาในรอบแรก (โดย สผ. และ คชก.) คือไม่เกิน 75 วัน
- หาก คชก. ไม่สามารถพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 45 วัน นับแต่วันที่ได้รับรายงานจาก สผ. ให้ถือว่า คชก. ให้ความเห็นชอบกับรายงาน EIA นั้น
- หาก คชก. มีมติไม่ให้ความเห็นชอบ ผู้ยื่นคำขออนุญาตจะต้องแก้ไขหรือจัดทำรายงานใหม่ และเสนอรายงานรอบที่ 2 ภายใน 180 วัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งผลการพิจารณา หากไม่ยื่นภายในเวลาที่กำหนด กระบวนการพิจารณาจะสิ้นสุดลง
- รอบที่ 2 (กรณีมีการแก้ไข):
- เจ้าหน้าที่ สผ. ตรวจสอบความถูกต้องและครบถ้วนของเอกสาร: 1 วัน
- คณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.) พิจารณารายงาน: 29 วัน
- หาก คชก. ไม่สามารถพิจารณาให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ได้รับเอกสารที่ถูกต้องและครบถ้วน ให้ถือว่า คชก. ให้ความเห็นชอบกับรายงาน EIA นั้น
- รอบที่ 1:
โดยรวมแล้ว ระยะเวลาการพิจารณารายงาน EIA โดยหน่วยงานราชการทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 105 วัน การกำหนดกรอบเวลาที่ชัดเจนพร้อมเงื่อนไขการอนุมัติโดยปริยาย (หากคณะกรรมการไม่สามารถพิจารณาได้ทันกำหนด) มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้กระบวนการพิจารณามีประสิทธิภาพและมีความรับผิดชอบ การที่อนุญาตให้มีการแก้ไขและยื่นใหม่ภายใน 180 วัน เป็นการให้ความยืดหยุ่นแก่เจ้าของโครงการในการปรับปรุงรายงาน แต่การไม่ปฏิบัติตามกรอบเวลาดังกล่าวจะทำให้กระบวนการสิ้นสุดลง ซึ่งเน้นย้ำถึงความสำคัญของการปฏิบัติตามข้อกำหนดอย่างทันท่วงที
งบประมาณในการจัดทำ EIA
ผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย
ในทุกประเทศที่ทำการศึกษาเรื่อง EIA รวมถึงประเทศไทย กฎหมายกำหนดให้ผู้เสนอโครงการเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมดในการจัดทำรายงาน EIA เจ้าของโครงการมีอิสระในการว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญหรือบริษัทที่ปรึกษาภายนอกที่ได้รับอนุญาตจาก สผ. ให้เป็นผู้จัดทำรายงานได้โดยตรง
องค์ประกอบค่าใช้จ่าย
ค่าใช้จ่ายในการจัดทำรายงาน EIA ประกอบด้วยหลายส่วน ซึ่งสะท้อนถึงความละเอียดและซับซ้อนของกระบวนการ :
- ค่าตอบแทนบุคลากร: เป็นส่วนสำคัญของค่าใช้จ่าย ซึ่งรวมถึงค่าตอบแทนของบุคลากรหลัก เช่น ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อม วิศวกร และบุคลากรสนับสนุน เช่น เลขานุการโครงการ
- ค่าใช้จ่ายสำนักงาน: เช่น ค่าเช่าสำนักงาน ค่าติดต่อสื่อสาร และค่าเครื่องใช้สำนักงานและวัสดุสิ้นเปลือง
- ค่าจัดทำรายงาน: ครอบคลุมค่าใช้จ่ายในการจัดทำร่างรายงาน การพิมพ์รายงานเพื่อเสนอต่อ สผ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงรายงานฉบับสมบูรณ์
- ค่าสำรวจสิ่งแวดล้อม: เป็นค่าใช้จ่ายที่มีนัยสำคัญ เนื่องจากเกี่ยวข้องกับการเก็บข้อมูลภาคสนามและการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งรวมถึง:
- ค่าสำรวจสภาพการใช้ที่ดินปัจจุบัน
- ค่าสำรวจสภาพเศรษฐกิจ สังคม และการมีส่วนร่วมของประชาชน
- ค่าสำรวจปริมาณการจราจร
- ค่าตรวจวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อม เช่น คุณภาพอากาศ (ฝุ่นละออง, ก๊าซต่างๆ), คุณภาพน้ำ, และระดับเสียง
- ค่าจัดทำแบบจำลองผลกระทบต่างๆ เช่น แบบจำลองผลกระทบจากแสงเงา
- ค่าใช้จ่ายอื่นๆ: เช่น ค่าเดินทาง และค่าใช้จ่ายเบ็ดเตล็ดอื่นๆ
ปัจจัยที่มีผลต่อค่าใช้จ่าย
ค่าใช้จ่ายในการจัดทำ EIA ไม่ได้มีอัตราคงที่ แต่ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายประการ :
- ประเภท ขนาด และความซับซ้อนของโครงการ: โครงการขนาดใหญ่ มีความซับซ้อนสูง หรือเป็นโครงการที่อาจมีผลกระทบรุนแรง (เช่น โครงการที่ต้องทำ EHIA) จะต้องมีการศึกษาที่ครอบคลุมและละเอียดมากขึ้น ทำให้มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้น
- ที่ตั้งโครงการ: โครงการที่ตั้งอยู่ในพื้นที่อ่อนไหวทางสิ่งแวดล้อม เช่น พื้นที่ป่าอนุรักษ์ พื้นที่ชุ่มน้ำ หรือพื้นที่ที่มีระดับมลพิษสูงอยู่แล้ว จะต้องมีการประเมินผลกระทบที่เข้มข้นและอาจต้องมีมาตรการป้องกันแก้ไขที่ซับซ้อนกว่าปกติ ซึ่งส่งผลให้ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น
- ขอบเขตการศึกษาและประเด็นสำคัญ: ประเด็นสิ่งแวดล้อมที่ต้องศึกษา ความสนใจของสาธารณชน และข้อมูลที่จำเป็นต่อการประเมินผลกระทบ ล้วนมีผลต่อขอบเขตและค่าใช้จ่ายของรายงาน การวิเคราะห์ที่ต้องใช้เครื่องมือเฉพาะทาง หรือการสำรวจข้อมูลภาคสนามที่ต้องใช้เวลาและอุปกรณ์พิเศษ ก็จะเพิ่มค่าใช้จ่าย
- ความจำเป็นในการแก้ไขรายงาน: หากรายงานที่ยื่นไปไม่ผ่านการพิจารณาและต้องมีการแก้ไขหรือจัดทำใหม่ จะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมตามมา
ค่าใช้จ่ายในการทำ EIA สะท้อนถึงความละเอียดของการวิเคราะห์ที่จำเป็น เพื่อให้มั่นใจว่าการพัฒนาโครงการจะเป็นไปอย่างยั่งยืน องค์ประกอบค่าใช้จ่ายและปัจจัยที่มีอิทธิพลเหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า EIA ไม่ใช่กระบวนการที่มีรูปแบบเดียวตายตัว แต่ค่าใช้จ่ายจะผันแปรโดยตรงกับขนาดและลักษณะของโครงการ รวมถึงความเข้มงวดที่จำเป็นในการประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
บทสรุป
การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) เป็นเครื่องมือทางกฎหมายที่สำคัญยิ่งในการส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศไทย EIA ทำหน้าที่เป็นกลไกสำคัญในการคาดการณ์ ป้องกัน และบรรเทาผลกระทบทั้งทางบวกและทางลบที่อาจเกิดขึ้นจากโครงการพัฒนาต่างๆ ต่อทรัพยากรธรรมชาติ สุขภาพ และคุณภาพชีวิตของชุมชน การวิเคราะห์ที่ครอบคลุมทั้ง 4 ด้านหลัก ได้แก่ ทรัพยากรกายภาพ ทรัพยากรชีวภาพ คุณค่าการใช้ประโยชน์ของมนุษย์ และคุณค่าต่อคุณภาพชีวิต แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการปกป้องสิ่งแวดล้อมและสังคมอย่างรอบด้าน
โครงการหลายประเภท ตั้งแต่อาคารที่อยู่อาศัยขนาดใหญ่ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐานและอุตสาหกรรม จำเป็นต้องผ่านกระบวนการ EIA ตามที่กฎหมายและประกาศกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมกำหนด ซึ่งมีการทบทวนและปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ทันสมัย กระบวนการจัดทำและพิจารณารายงาน EIA มีขั้นตอนที่ชัดเจนและมีกรอบระยะเวลาที่กำหนดไว้ โดยทั่วไปใช้เวลาประมาณ 6-12 เดือนในการจัดทำรายงาน และประมาณ 75-105 วันสำหรับการพิจารณาโดยหน่วยงานรัฐ ค่าใช้จ่ายในการจัดทำ EIA เป็นภาระของผู้พัฒนาโครงการ ซึ่งประกอบด้วยค่าบุคลากร ค่าสำนักงาน ค่าจัดทำรายงาน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งค่าสำรวจและวิเคราะห์สิ่งแวดล้อม ซึ่งจะแปรผันตามขนาด ความซับซ้อน และที่ตั้งของโครงการ
การปฏิบัติตามข้อกำหนด EIA ไม่เพียงแต่เป็นไปตามกฎหมายเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้โครงการได้รับการอนุมัติและดำเนินไปได้อย่างราบรื่น หากโครงการไม่ผ่านการประเมิน ก็จะไม่ได้รับอนุญาตก่อสร้างหรืออาจถูกสั่งให้หยุดดำเนินการได้ การที่กฎหมายและประกาศต่างๆ มีการปรับปรุงอยู่เสมอ สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามในการพัฒนาระบบ EIA ให้มีประสิทธิภาพและสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันอยู่เสมอ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายจึงควรติดตามข้อมูลข่าวสารและทำความเข้าใจในกระบวนการนี้อย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมกันสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืนให้กับประเทศต่อไป